เมนู

7. ธรรมสังวรเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระธรรมสังวรเถระ*


[244] ได้ยินว่า พระธรรมสังวรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เราได้พิจารณาแล้ว จึงออกบวชเป็นบรรพชิต
เราได้บรรลุวิชชา 3 แล้ว บำเพ็ญกิจในพระศาสนา
เสร็จแล้ว.

อรรถกถาธรรมสวเถรคาถา


คาถาของท่านพระธรรมสวเถระ เริ่มต้นว่า ปพฺพชึ ตุลยิตฺวาน.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระเถระนี้เป็นพราหมณ์ นามว่า สุวัจฉะ ในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ เรียนจบไตรเพท เห็น
โทษในการอยู่ครองเรือน จึงบวชเป็นดาบส ให้สร้างอาศรมในซอกเขา ชายป่า
อยู่ร่วมกับดาบสเป็นอันมาก.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระประสงค์จะทรงปลูกพืชคือกุศล
แก่เขา จึง (เสด็จไป) ประทับยืนอยู่บนอากาศ ใกล้อาศรม แล้วทรงแสดง
อิทธิปาฏิหาริย์. สุวัจฉดาบสเห็นอิทธิปาฎิหาริย์นั้น เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ใคร่จะ
บูชา จึงเก็บเอาดอกสารภี (มาถวาย). พระศาสดาทรงพระดำริว่า พอแล้ว
สำหรับพืชคือกุศลมีประมาณเท่านี้ แห่งดาบสผู้นี้ ดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป.
* อรรถกถาเรียกว่า พระธรรมสวเถระ

พระดาบสเก็บดอกไม้มาโรยทาง ที่พระบรมศาสดาเสด็จผ่านไป แล้วยังจิตให้
เลื่อมใส ยืนประคองอัญชลีอยู่แล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ อยู่
แต่ในสุคติภพเท่านั้น เกิดในตระกูลพราหมณ์ แคว้นมคธ ในพุทธุปบาท
กาลนี้ ได้นามว่า ธรรมสวะ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว อันเหตุสมบัติตักเตือนอยู่
เห็นโทษในการอยู่ครองเรือน และอานิสงส์ในบรรพชา เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคเจ้าผู้ประทับอยู่ในทักขิณาคิรีชนบท ฟังธรรมแล้วได้เป็นผู้มีจิตศรัทธา
บรรพชาแล้ว เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้วต่อกาลไม่นานนัก. สมดัง
คาถาพยากรณ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราเป็นพราหมณ์ นามว่า สุวัจฉะ เป็นผู้รู้เจน
จบมนต์ แวดล้อมด้วยศิษย์ของตน อยู่ ณ ระหว่างภูเขา
พระชินเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้สมควรรับ
เครื่องบูชา พระองค์ทรงประสงค์ จะรื้อถอน (ช่วย
เหลือ) เรา จึงเสด็จมายังสำนักเรา เสด็จจงกรมอยู่บน
เวหาส เหมือนประทีปอันโพลงฉะนั้น ทรงทราบว่า
เรายินดีแล้ว บ่ายพระพักตร์กลับไปทางทิศประจิม
ก็เราได้เห็นความอัศจรรย์อันไม่เคยมี น่าขนพอง-
สยองเกล้านั้นแล้ว ได้เก็บเอาดอกสารภีไปโปรยลงที่
ทางเสด็จผ่าน ในกัปที่แสน แต่ภัทรกัปนี้ เราโปรย
ดอกไม้ใด ด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น เราไม่เข้าถึงทุคติ
เลย ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้า
จักรพรรดิราช มีพระนามว่า "มหารถะ" สมบูรณ์

ด้วยแล้ว 7 ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลาย
แล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จ
แล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาข้อปฏิบัติของตน ถึง
ความโสมนัส ได้กล่าวคาถาด้วยสามารถแห่งอุทานว่า
เราได้พิจารณาเห็นแล้ว จึงออกบวชเป็น
บรรพชิต เราได้บรรลุวิชชา 3 แล้ว บำเพ็ญกิจใน
พระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพชึ ตุลยิตฺวาน ความว่า พิจารณา
คือสอดส่องซึ่งโทษในฆราวาส โดยนัยมีอาทิว่า การอยู่ครองเรือนคับแคบ
เป็นทางแห่งละอองธุลี ดังนี้ ได้แก่พิจารณาโทษในกามทั้งหลาย โดยนัยมี
อาทิว่า กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ดังนี้
และอานิสงส์ในการออกบวช โดยตรงข้ามกับโทษในกามนั้น ด้วยปัญญาอัน
เป็นดุจตราชั่ง.
คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวในหนหลังแล้วทั้งนั้น. ก็คำเป็นคาถานี้แหละ
ได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผล ของพระเถระ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาธรรมสวเถรคาถา

8. ธรรมสฏปิตุเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระธรรมสฏปิตุเถระ*


[245] ได้ยินว่า พระธรรมสฏปิตุเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เรามีอายุ 120 ปี จึงออกบวชเป็นบรรพชิต
ได้บรรลุวิชชา 3 แล้ว บำเพ็ญกิจในพระพุทธศาสนา
เสร็จแล้ว.

อรรถกถาธัมมสวปิตุเถรคาถา


คาถาของท่านพระธัมมสวปีตุเถระ เริ่มต้นว่า ส วีสวสฺสสติโก.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์
ก่อน ๆ เมื่อโลกว่างจากพระพุทธเจ้า (สุญญกัป) บังเกิดในเรือนแห่งตระกูล
ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เห็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า อยู่บนภูเขาชื่อว่า
ภูตคณะ มีใจเลื่อมใส ได้ทำการบูชาด้วยดอกมะลิซ้อน.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาไปบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ
อยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น เกิดในตระกูลพราหมณ์ แคว้นมคธ ในพุทธุปบาท-
กาลนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว มีครอบครัว ได้บุตรชื่อว่า ธัมมสวะ เมื่อบุตร
บวชแล้ว แม้ตนเอง (ก็ย่างสู่วัยชรา) มีอายุ 120 ปี แล้วเกิดความสลด
ใจว่า บุตรของเรายังหนุ่ม บวชก่อนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไร เราจักไม่
* อรรถกถาว่า พระธัมมสวปีตุเถระ